top of page

Program

Francis Poulenc

Oboe Sonata (1962)

    "ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ใช่นักดนตรีที่ประพันธ์ตามหลักการประพันธ์เหมือนกับ Stravinsky Ravel หรือ Debussy และฉันคิดว่ามันเป็นพื้นที่สำหรับดนตรีแนวใหม่ โดยที่ในเนื้อหาแต่ละเพลงมีการยืมเสียงประสานกันไปมา มันก็เกิดขึ้นกับ Mozart และ Schubert ไม่ใช่หรือ ?"

 

Poulenc เขียนจดหมายถึงเพื่อนของเขาในปี 1942

 

    นักวิจารณ์ให้สมญานามถึง Poulenc ว่า 'Moitie Moine, Moitie Voyou' (ครึ่งพระ ครึ่งซาตาน) และตัวของเขาเองก็ยอมรับว่าเป็นคนที่มีสองบุคลิก ดนตรีของ Poulenc นั้น เต็มไปด้วยเสน่ห์ สง่างาม แต่ก็แฝงไปด้วยความซึมเศร้า ตัวตนของเขาเป็นคนรักอิสระ เป็นคนง่าย ๆ งานอดิเรกของเขาคือการได้ไป Salon (Bar หรือ club ในสมัยนี้) และชอบแต่งเพลงไปเรื่อยเปื่อย จากกิจกรรมเหล่านั้นทำให้ผลงานประพันธ์ของ Poulenc นั้น มีเอกลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก

 

    ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกฝนทักษะด้านดนตรีในระบบที่เป็นแบบแผน (Conservative) แต่เขาก็สามารถทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักประพันธ์ในรุ่นเดียวกันได้ มองย้อนกลับไปในวัยเยาว์ เขามีข้อได้เปรียบในการรับอิทธิพลจากทั้งพ่อ และแม่ ฝ่ายพ่อเป็นคาทอลิกในฝรั่งเศส ทำให้ผลงานการประพันธ์ของเขาติดหูคนฟังได้อย่างดี เพราะมีกลิ่นอายของความเป็น Parisian อยู่อย่างมาก

 

    Oboe Sonata ผลงานชิ้นสุดท้ายของ Poulenc ถูกประพันธ์ขึ้นในปี 1962 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้อุทิศเพลงนี้ให้กับ Sergei Prokofiev บทเพลงนี้เป็นหนึ่งในบทเพลงสำคัญ (Repertoire) ของนักโอโบ เป็นผลงานที่มีความซับซ้อน และยังท้าทายความสามารถของผู้บรรเลงเป็นอย่างมาก ในบทเพลง Oboe Sonata นี้ เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และยังสื่อถึงบรรยากาศของชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ซึ่งเห็นได้ชัดในแต่ละท่อนของบทเพลง

W. A. Mozart

Oboe Concerto in C major, K. 314 (1777)

    ผลงานการประพันธ์ของ Mozart ในปี ค.ศ. 1777 Oboe Concerto in C major, K. 314 ที่นำเสนอในท่อนที่ 2 ซึ่งเป็นท่อนช้า Mozart ได้เขียนเพลงนี้ในปี ค.ศ. 1777 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้ตัดสินใจออกจากงานในฐานะหัวหน้าวง Archbishop of Salzburg เพื่อออกเดินทางไปเปิดโลกกว้างกับแม่ของเขา และหาเงินมาดูแลครอบครัว บทเพลง Oboe Concerto ได้ถูกประพันธ์ให้กับนักโอโบที่ทำงานอยู่ด้วยกันมีนามว่า Giuseppe Ferlendis ซึ่งพ่อของ Mozart ได้บอกว่าเค้าเป็นบุคคลที่เป็นที่โปรดปรานของคนในวง Mozart ได้แต่งเพลงให้กับ Ferlendis โดยที่ยังเป็นที่สงสัยว่าเพลงที่เค้าแต่งออกมา ตัวของ Ferlendis จะเล่นได้หรือไม่ แต่สุดท้ายตัวของนักโอโบผู้นี้ก็เป็นแรงบัลดาลใจให้ Mozart แต่ง Concerto บทนี้ให้ โดยที่บทเพลงแสดงออกถึงอามรมณ์และความไพเพราะ แต่ยังแสดงถึงประโยคเพลงหรือสำนวนที่สมบูรณ์แบบอย่างธรรมชาติจนเป็นที่น่าจดจำ

 

    การแสดงในครั้งนี้เรียบเรียงใหม่ในรูปแบบ Reed Quintet ซึ่งเป็นเพื่อนต่างมหาลัยมาร่วมสร้างสรรค์การนำเสนอใหม่ๆในรูปแบบของวง Quintet และมีเรื่องราวให้ชวนติดตาม

Vincenzo Bellini

Oboe concerto in E-flat Major (1823)

    "แค่สองประโยคเท่านั้น, เพื่อนรักของฉัน ฉันเข้าใจถึงคำถามที่พวกเธอมีต่อฉันในเรื่องสุขภาพของฉัน ซึ่งอยู่ที่จุดแตกหัก จากความเหนื่อยล้าอันยิ่งใหญ่ที่ฉันเป็น เพราะต้องเขียนโอเปร่าในเวลาอันสั้นและไม่ได้เป็นความผิดของใคร มันเป็นเรื่องปรกติของฉัน เจ้าพวกเฉื่อยฉาทั้งหลาย !!"

 

- จากจดหมายของ V.Bellinii

 

    Bellini เรียนจบที่ Naples Conservatory เป็นนักประพันธ์เพลงที่สำคัญคนหนึ่ง โดยเฉพาะในดนตรีประเภท Opera แต่เช่นเดียวกันในดนตรีประเภท Chamber music และบทเพลง Solo piece ต่างๆ ก็เป็นที่นิยมและมีคุณค่าไม่ต่างกัน เค้าเกิดในครอบครัวนักดนตรีที่มีฝีมือมากๆ ในประวัติของเค้าได้มีเรื่องเล่าว่า ด้วยพรสวรรค์ของ Bellini เค้าสามารถร้อง Aria ของ Valentino Fioravanti ด้วยอายุเพียง 18 เดือน ผลงานของเค้าในการเขียน opera เป็นแรงบัลดาลใจให้กับนักประพันธ์ในยุคต่อๆมาเช่น Donizetti, Wagner และ Verdi เป็นต้น ทำให้ในยุคหลังได้ถูกยกระดับอุปรากรสู่การแสดงทางศิลปะอย่างแท้จริง ในช่วงที่เค้าเป็นนักเรียน Bellini และ Donizetti มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในการแต่งดนตรีในกับเครื่องดนตรีต่างๆ แต่ประเด็นคือมันจะค่อนข้างไม่เป็นที่นิยม เพราะในยุคของนั้นที่อิตาลี ดนตรีประเภท opera เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของในยุคนั้น

    Bellini’s Oboe Concerto in E- at Major ถูกแต่งขึ้นในช่วงที่เค้าเรียนอยู่ที่ Naples Conservatory. เค้าได้สร้างรูปแบบในการประพันธ์แบบใหม่โดย Bellini เลือกที่จะทำช่วงเกริ่นนำ(introduction) สั้นลง โดนกำหนดจังหวะอยุ่ที่ Larghetto cantabile ทำให้เสียงที่ออกมานั้นอยุ่ในจังหวะช้า และทำนองจะคล้ายคลึงกับ opera arias, และในท่อนต่อมา Allegro polonaise จะให้เสียงเหมือนกับเทคนิคหนึ่งใน opera arias ที่เรียกว่า virtuosic coda ที่เค้ามักจะใช้อยุ่บ่อยครั้งในการประพันธ์ opera Bellini’s ได้เขียนแนวของ oboe อย่างสะอาดและสวยงาน แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามรถของเค้าที่เข้าใจถึงธรรมชาติของเครื่งดนตรี และการแสดงอารมณ์ต่างๆของ oboe ดังนั้นนี่จึงเป็นเพลงที่แสดงความสามารถของผู้แสดงเดี่ยว ที่สื่อได้ถึงความเชี่ยวชาญและความชำนาญเป็นอย่างมาก

bottom of page